เช้าวันที่ 4 ของการเดินทาง วันนี้ผมตื่นตั้งแต่ตี 5
เพราะแดดตอนเช้าที่ญี่ปุ่นแรงมาก ตี5 นี่สว่างยังกะ 9 โมงเช้าในประเทศไทย
กลิ้งไปกลิ้งมาอยากนอนต่อ แต่ก็นอนไม่หลับแดดส่องทะลุม่าน มันแยงตา
6:00 ก็ตื่นไปอาบน้ำแต่งตัว เก็บของ
7:00 ลงไปทานข้าวเช้ากัน
อาหารเช้าของโรงแรมมีให้เลือกทานหลายอย่าง น่าทานไปหมด
ตู้กดน้ำอัตโนมัติ มีให้น้ำเลือกเยอะมาก กดมั่วๆมาลองกินดู
อิ่มกันแล้ว ก็เก็บของcheck out แล้วประกอบจักรยาน ออกไปท่อง tokyo กัน
เป้าหมายแรกของเราวันนี้คือ Yodobashi ขายเครื่องไฟฟ้า คอมพิวเตอร์
(เมื่อวาน @JetAsiaStaff ทำฝากล้องหล่นหาย เลยมาแวะซื้อฝากล้องกันก่อน)
การจอดจักรยานในญี่ปุ่น
จักรยาน ถือได้ว่าเป็นยานพาหนะที่สำคัญกับชาวญี่ปุ่นมาก เรียกได้ว่าทุกบ้านจะต้องมีจักรยาน
เราจะเห็นจักรยานจอดกันหน้าห้าง เยอะมากมาย ด้วยความที่คนใช้จักรยานกันเยอะ
ที่จอดจักรยานจึงมักจะไม่พอการจอด จะมีที่จอดจักรยานแบบเสียเงิน ประมาณวันละ 100 เยน ถ้าเป็นที่หน้าห้างดังๆ ฮ๊อตๆ
ก็อาจจะ 4 ชั่วโมง 100 เยน บางครั้งที่จอดเต็ม หาที่จอดไม่ได้ก็เห็นจอดล็อกกันตามข้างถนน
เรื่องหายคงไม่มีแต่ก็แอบมีเสียวกันบ้างสำหรับรถราคาแพงๆซึ่ง หากเราจอดข้างถนน หรือนอกเหนือจากจุดที่กำหนด ก็จะโดนใบสั่ง
(แต่ดูๆแล้วน่าจะเป็นใบเตือนtag สีแดงๆ ติดไว้ที่แฮนจักรยาน)
ถ้าเราเจอใบเตือนเหล่านี้ ก็แค่ดึงออก แล้วรีบชิ่งไปไวๆ อย่าอยู่นานจากข้อมูลที่เราทราบมาคือ หากยังจอดไว้ ก็จะมีรถของตำรวจ มายกจักรยานเราไป
จะวนมาเป็นรอบๆ ซึ่งก็ไม่รู้ว่าจะวนมาเวลาไหน หากเรากลับมาไม่ทัน ก็ซวยโดนยกรถไป
ถ้าเราอยากได้คืน ก็ต้องไปจ่ายค่าปรับที่โรงพัก ซึ่งค่าปรับนั้นแพงมากชนิดที่ว่าซื้อจักรยาน
คันใหม่ยังถูกกว่าการไปจ่ายค่าปรับ
(ไม่แปลกใจเลย ทำไมเราจึงเห็น จักรยานแม่บ้านมือ2 จากญี่ปุ่นส่งมาขายในบ้านเรา
ในสภาพรถยังดีๆ บางคันก็ใหม่มากๆ ส่งมาทีเป็นตู้คอนเทนเนอร์ ก็จากรถที่จอดผิดกฏหมายนี่แหละ)
เพราะฉะนั้น จงจอดในที่ให้จอดนะครับ หรือถ้าจะจอดข้างถนนก็พยายามจอดไว้ในซอย มัดไว้กับเสา
อย่าจอดติดถนนใหญ่ เพราะส่วนใหญ่เค้าจะจับเฉพาะ พวกจอดติดถนนใหญ่เป็นหลัก
หรือจอดบนทางเท้าที่มีคนเดินเยอะๆ กีดขวางการจราจร
ผมให้ @JetAsiaStaff ไปซื้อของคนเดียว เดี๋ยวผมเฝ้ารถให้ ทำใจทิ้งเจ้าเต่าแดงไปไม่ได้
เพราะดูจากจำนวนใบสั่งของจักรยานแถวนี้แล้ว… (ที่ไหนมีใบสั่ง ที่นั่นมีรถยกแน่นอน!)
ซื้อของเสร็จแล้ว ก็เดินทางกันต่อ
น้องหมี Kumamon mascot ประจำ จังหวัด Kumamoto เขต Kyushu ที่กำลังฮิตมากๆกันที่ญี่ปุ่น
ถนนนใน tokyo นั่นไม่ได้ราบไปซะทีเดียว จะมีทางราบ สลับเนินเล็กๆ ไปตลอดทาง
ปั่นไม่ยาก แต่ก็กินแรงอยู่เหมือนกัน
มุ่งหน้าสู่ พระราชวังโตเกียว Tokyo Imperial Palace
เป็นพระราชวังของสมเด็จพระจักรพรรดิแห่งญี่ปุ่น ตั้งอยู่ในเขตชิโยะดะ กรุงโตเกียว
ใกล้กับสถานีรถไฟโตเกียว
ช่วงพักกลางวัน หนุ่มสาวออฟฟิสจะมานั่งทานข้าวกันบริเวณนี้
ทานข้าวไปชมซากุระไป ช่างน่าอิจฉาซะจริงๆ
บรรยากาศรอบๆ พระราชวัง นั้นสวยร่มรื่นมากๆ ท่านใดมาปั่นจักรยานใน tokyo
ไม่ควรพลาดการปั่นรอบ พระราชวัง เป็นอย่างยิ่ง
มีคนมาวิ่งออกกำลังด้วย
เดี๋ยวจะหวาว่าเรามาไม่ถึง ต้องถ่ายภาพไว้เป็นที่ระทึกกันซักหน่อย ^_^
Bike messenger อีกอาชีพนึงใน tokyo (เมืองไทยก็มีเหมือนกันนะ แต่ยังไม่ค่อยแพร่หลายเท่าไร)
ชื่นชมความงามรอบๆ พระราชวัง แล้วมุ่งหน้าไป Akihabara กันต่อ
ว่าแต่… ตอนนี้เราอยู่ที่ไหนกันเนี่ย @JetAsiaStaff ต้องพึ่ง google map ในการนำทาง
นี่ถ้าไม่มี wifi ไม่อยากจะคิดเล้ยยย ว่าจะหาทางเจอรึป่าว เพราะแยกเยอะมาก
ร้านจักรยานในญี่ปุ่น ดูราคาแล้วไม่แพงเลยนะ 6-7000บ.
จักรยานขึ้นชื่ออย่าง ยี่ห้อ tokyo bike นี่คันละ หมื่นต้นๆเอง (ในไทยขายกันคันละเกือบ 3หมื่น)
ตึกทรงประหลาด แต่แฝงด้วยความน่าสนใจทางวิศวกรรม
คลองน้ำใสมากๆ ไม่มีขยะลอยให้เห็นเลย
ถ้าคลองแสนแสบบ้านเราสะอาดได้แบบนี้บ้างก็คงดีซินะ
Akihabara เป็นย่านที่มีชื่อเสียงในtokyo ได้รับขนานนามว่า “เมืองอิเล็กทรอนิกส์อะกิฮะบะระ”
เนื่องจากบริเวณนี้เต็มไปด้วยร้านขายเครื่องใช้ไฟฟ้า คอมพิวเตอร์ เกม ของเล่น และการ์ตูน
ในAkihabara นั้นเราจะพบ สาวๆแต่งคอสเพลย์ คอยยืนแจกโบชัวร์ ทิชชู่ อยู่ตามรายทาง
เป็นเอกลักษณ์ของย่านนี้ ซึ่งสาวๆ เหล่านี้จะห้ามเราถ่ายภาพเด็ดขาด
ถ้าพวกเธอเห็นเราถือกล้อง ทำท่าจะถ่าย พวกเธอหลบหน้าหลบตาทันที บางคนเดินหนีไปเลย???
(อันนี้ไม่เข้าใจเหมือนกัน ทำไมถึงห้าม ???)
แต่ถึงกระนั้น เราก็ยังแอบถ่ายมาจนได้ ตอนพวกเธอเผลอ (>,<)
สินค้าส่วนใหญ่ พวกmodel เกมส์ ของเล่น และการ์ตูน ส่วนใหญ่ร้านต่างๆจะอยู่ในตึก
ถ้าอยาก shopping คงต้องหาที่จอดจักรยานแล้วเดินชม ผมเชื่อว่าเดินได้ทั้งวันแหงๆ
ซึ่งเราไม่มีเวลามากขนาดนั้น เลยได้แต่ปั่นชมบรรยากาศภายนอกแทน
มุ่งหน้าไป วัดอาซากุสะ ( Asakusa ) กันต่อ
วัดอาซากุสะ ( Asakusa )
วัดอาซากุสะ มีชื่อเดิมว่า วัดเซ็นโซจิ เป็นวัดพุทธโบราณ แต่ที่เรียกกันติดปากว่า วัดอาซากุสะ
เพราะตั้งอยู่ในย่านอาซากุสะ แต่เดิมเป็นศาลเจ้าสำหรับสักการะบูชาพระโพธิสัตว์คันนน
ต่อมาจึงมีการสร้างเป็นวัด เมื่อปี ค.ศ. 628 และสร้างเสร็จในปี 645ในอดีตวัดอาซากุสะ เป็นวัดที่เหล่าโชกุนและซามูไร มักจะมาสักการะและขอพรเป็นประจำ
และสิ่งที่ขอพรไป ก็มักประสบผลสำเร็จ จึงทำให้บรรดาซามูไรและโชกุน
มีความเลื่อมใสศรัทธาวัด Asakusa เป็นอย่างมากจุดเด่นของวัด Asakusa คือ ทางเข้าวัดมีประตูขนาดใหญ่ เรียกว่า ประตู(Kaminari-mon)
หรือ “ประตูอสุนี” บนคานประตูแขวนโคมกระดาษขนาดใหญ่ มีความสูงกว่า 5.5 เมตร
โคมกระดาษมีรูปสายฟ้าและเมฆเขียนด้วยสีดำและแดงทำเนียม คนที่มาขอพรวัด Asakusa จะทำโดยการตักน้ำล้างมือ ล้างหน้า แล้วไปตรงกลางวัด
จะมีกระถางธูปขนาดใหญ่ ซึ่งเป็นความเชื่อว่า ถ้าได้รับควันนี้ติดตัวมา จะโชคดีมีสุข
เพราะฉะนั้นทุกคนที่ไป ก็จะไปยืนกวักเอาไอควันนั้นเข้าตัว
ต่อด้วยการ โยนเหรียญที่มีเลข 5 อย่าง 5yen ,50yen หรือ 500yen ลงในกล่อง
แล้วตบมือ 2ที แล้วอธิษฐาน เป็นอันจบพิธีไหว้พระแบบญี่ป่น
วัด Asakusa ช่วงนี้กำลังมีการปรับปรุงพื้นที่รอบนอก เลยทำให้เก็บภาพสวยๆ จากบริเวณหน้าวัด
ไม่ได้เลยเสียดายจัง
@JetAsiaStaff บอกผมว่า วัดนี้คนเยอะตลอดทั้งปี ใครมา tokyo ก็ต้องแวะมาวัดนี้
นี่ขนาดเรามาวันทำงานนะเนี่ย ถ้ามาเสาร์อาทิตย์คงจะแน่นยิ่งกว่านี้
<
หน้ากากสวยๆเต็มเลย อยากได้จัง (ไม่กล้าถามราคาดูท่าทางจะแพง)
ถ่ายภาพ @JetAsiaStaff ไว้ซะหน่อย ไหนๆก็ปั่นกันมาถึงนี้ เก็บไว้เป็นความทรงจำ
เอาไว้เล่า ให้ลูกให้หลานฟังว่า สมัยหนุ่มๆมีคนบร้า 2 คนมาปั่นจักรยานกันถึงญี่ปุ่น
ยิ่งใหญ่อลังการมากๆ ไม่น่าเชื่อว่าวัดนี้มีอายุมากถึง 1300กว่าปี
กระถางธูป ที่ใครๆมาก็ต้องไปกวักเอาควันเข้าตัว เพื่อความเป็นศิริมงคล
บริเวณหน้าวัด Asakusa มีบริการรถลาก สำหรับพานักท่องเที่ยวตระเวณชมความงามในเขตอาซากุสะ
และเขตใกล้เคียงแบบไม่ต้องเมื่อยขาอีกด้วย สนนราคาก็… ผมว่าเดินเอาดีกว่านะ
ชมความงามของวัดแล้ว เดินทางกันต่อ มุ่งหน้าสู่ TOKYO SKYTREE
ตึกทรงประหลาด! นั่นคือ…
ตึกอาซาฮี(Asahi beer hall)อันลือเลื่อง ด้านสถาปนิกและการออกแบบ
ภายในเป็นร้านอาหาร และเครื่องดืม
ส่วนตึกที่เป็นกระจกสีทอง ที่อยู่ข้างๆกัน นั่นคือสำนักงานของ อาซาฮี เบียร์ชื่อดังของญี่ปุ่น นั่นเอง
ตึก Asahi beer นี้ออกแบบโดยนักออกแบบฝรั่งเศสชื่อดัง Philippe Starck เมื่อปี 1989
(ลองชมผลงานการออกแบบได้ที่ www.starck.com)
ซึ่งไม่เพียงแต่ภายนอกที่ดูแปลกตาเท่านั้น Interior Space ถายในยังน่าสนใจมากๆ
เริ่มแรก เจ้าก้อนสีทองนั่น นักออกแบบจงใจให้มันเป็นเปลวไฟสีทอง The Asahi Flame (Flamme d’Or)
โดนมีสโลแกนว่า ‘burning heart of Asahi beer’
แต่เนื่องด้วยญี่ปุ่นนั้นเจอแผ่นดินไหวบ่อยครั้ง และเปลวไฟซึ่งมีขนาดใหญ่และไม่สมมาตร อาจเกิดอันตรายได้
จึงเปลี่ยนมาวางในแนวนอนแทน
จากไฟจึง กลายเป็นสัญลักษณ์ฟองเบียร์! ที่สื่อถึงความหมายและเจตนารมย์ของบริษัทได้เป็นอย่างดี
(แต่…คนทั่วไป ก็ดันทะลึ่งเอาสัญลักษณ์ฟองเบียร์ ไปเปรียบว่าเหมือนก้อนเมฆ
บางคนก็บอกว่าเหมือนก้อนอึ บางคนก็พัฒนาไปไกลคิดว่าเป็นอสุจิก็มี…เออคิดกันไปได้)
พอปั่นมาดูใกล้ๆ ใหญ่เหมือนกันแหะ
เราปั่นลัดเลาะตามซอย เพื่อไปยัง TOKYO SKYTREE
ถึงแล้ววว TOKYO SKYTREE
โตเกียวสกายทรี (Tokyo Skytree) หรือเรียก โตเกียวทาวเวอร์แห่งใหม่ (New Tokyo Tower)
เนื่องจาก โตเกียวทาวเวอร์ สีแดงอันเดิม (สูง 333 เมตร) มีความสูงไม่พอ
ที่จะส่งสัญญาณคลื่นโทรทัศน์แบบดิจิตอลให้ครอบคลุม จึงจำเป็นต้องสร้างโตเกียวทาวเวอร์แห่งใหม่
โดยตั้งชื่อกันความสับสนว่า Tokyo Skytree
Tokyo Skytree ปัจจุบันเป็นสิ่งก่อสร้างที่สูงที่สุดในประเทศญี่ปุ่น ที่ความสูง 634.00 เมตร (2,080 ฟุต)
สร้างเสร็จสมบูรณ์ในเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555
ที่มาของการกำหนดความสูงไว้ที่ 634 เมตร เนื่องจากในสมัยก่อน พื้นที่กรุงโตเกียว
เดิมถูกเรียกว่า มุซะชิ (ญี่ปุ่น: 武蔵-634-Musashi) ซึ่งตรงกับตัวเลขญี่ปุ่น 634
มุ (六) แทนเลขหก (6) ซะ (三) แทนเลขสาม ชิ (四) แทนเลขสี่
เราสามารถขึ้นไปชมวิวtoyko ได้บนนั้น แต่เนื่องจากเรามีเวลาไม่พอจึงทำได้แค่เพียง
ปั่นวนชมวิวรอบๆ Tokyo Skytree เท่านั้น
ภาระกิจถ่ายภาพวันนี้ จบลงเพียงเท่านี้ เหลือแค่สำรวจเส้นทางปั่นจักรยานจาก Tokyo-narita
ซึ่งก็เป็นระยะทางที่ต้องปั่นไกลกว่า 70km
ตอนนี้เวลาบ่าย2แล้ว ตั้งแต่ทานข้าวเช้าของโรงแรมมา ก็ยังไม่ได้ทานอะไรอีกเลย
เริ่มหิวกันแล้ว ก็เลยตกลงกันว่าจะปั่นไปหาอะไรทานกันต่อ
เจอร้านข้าวกล่อง 500yen เลยขอลองกันซักหน่อย อย่างน้อยก็ดีกว่ากินข้าวกล่องเซเว่นละนะ
มีเมนูให้เลือกมากมาย ก็จิ้มๆเอา เมนูญี่ปุ่นเค้าดีอย่างนึงคือมีรูปประกอบพร้อม
ถึงเราพูดญี่ปุ่นไม่ได้เราก็ไม่อดตาย
ผมเลือกไอ้นี่มา ข้าวหน้าปลาซาลม่อน ดูดีทีเดียว
มาญี่ปุ่น(เมืองปลาดิบ)ทั้งที ต้องขอกินปลาดิบซะหน่อย ถึงแม้มันจะเป็นแค่ปลาดิบในข้าวกล่องก็ยังดี (T_T)
รสชาติไม่เลวเลยนะ สำหรับราคา 500yen หรือประมาณ160บ.
นั่งกินกันข้างถนนเช่นเดิม ชีวิตนี้ช่างมีรสชาติดีจริงๆ
อิ่มแล้วก็ซื้อน้ำตุนสะเบียง ได้เวลาทรมาณบรรเทิงกันแล้ว ตอนนี้บ่าย 2 ยังไม่ออกจาก tokyoเลย
กว่าจะถึง narita มืดแน่นอนเที่ยงคืนแหงๆ
ปั่นไปเรื่อยๆ ตามถนนหมายเลข 315
ปั่นกินลมชมวิวกันไปเรื่อยๆ ชมบ้านเมืองญี่ปุ่นไปพร้อมสังเกตุสิ่งที่อยู่รอบตัว
ถึงแม้ว่า ราคาที่ดินใน Tokyo นั้นมีราคาแพงมาก แต่ถึงอย่างนั้น…
พื้นที่สาธารณะประโยชน์กลับไม่ได้น้อยตามไปด้วย ในทางกลับกัน มันมีพื้นที่เยอะมาก
รัฐบาลใส่ใจกับประโยชน์สาธารณะ คุณภาพชีวิตของคนที่นี่ ช่างน่าอิจฉาจริงๆ
Google map ใน iphone นั้นช้ามาก ปั่นเลยไปแล้ว พิกัดGPS ก็ยังไม่ขยับ
ตอนนี้ Google map เริ่มพาเราเข้ารกเข้าพงซะแล้ว ยังไงละทีนี้
16:00น. ดูเหมือนจะเป็นช่วงโรงเรียนเลิก บรรดาแม่บ้านจะปั่นจักรยานมารับลูกๆ
ต้องชมสกิลการปั่นจักรยานของบรรดาแม่บ้านญี่ปุ่นมากๆ
จักรยานบางคันมีลูกนั่งมาถึง 3คน (หน้า1 ,หลัง1 ,สะพายไว้ที่อก กำลังให้นมลูกอีก1)
สุดยอดทำได้ยังไง แล้วก็ไม่ใช่คันเดียวที่เจอนะ เจอแบบนี้ตั้งหลายคัน โอ้ววว
ตอนแรกก็ดูอันตรายนะ เกิดความสงสัยว่า แม่ๆเค้าไม่ห่วงลูกๆเวลารถล้มกันรึ ?
แต่พอสังเกตุดีๆ จะเห็นว่า…
เด็กๆใส่หมวกกันน็อก และ เบาะจักรยานสำหรับเด็กที่นี่ ค่อนข้าง safe มากๆ
มีที่ป้องกันหัว,กันมือ,ป้องกันขา และสำหรับเด็กเล็กๆ มีสายเบลรัดตัวเอาไว้ด้วย
ถึงจะล้มเด็กๆก็ไม่เป็นไร โอ้ววว (เบาะแบบนี้ไม่เคยเห็นขายในไทยนะ)
บอกเลยว่า อยากซื้อเบาะเด็ก กลับมาให้ลูกซักอัน เสียดายที่ไม่รู้จะขนกลับมายังไง
ไม่งั้นคงหิ้วมาด้วยแล้ว
17:00 ท้องฟ้าเริ่มมืดๆแล้ว อากาศเริ่มเย็นลง
เราแวะจอดรถเพื่อเข้าห้องน้ำ และใส่เสื้อกันหนาวเพิ่มกันไว้ก่อน
เพราะไม่รู้ว่าทางข้างหน้าจะเจอกับอะไรบ้าง
เราปั่นลัดเลาะตามหมู่บ้าน อาศัยGoogle map นำทาง เลยไม่รู้ว่าแถวนี้เรียกว่าอะไร
ฟ้ามืดลงเรื่อยๆ ตอนนี้เราต้องแข่งกับเวลา
วันนี้ต้องชมเลยว่า @JetAsiaStaff วันนี้ทำความเร็วได้ดีมาก
@JetAsiaStaff ได้กล่าวไว้ “ผมบอกแล้ว วันนี้ผมต้องทำให้ได้ ”
ยิ่งปั่นก็ยิ่งออกนอกเมือง ห่างไกลบ้านผู้คนไปเรื่อยๆ มืดขึ้นเรื่อยๆ
การปั่นจักรยานทางไกลนั้น สิ่งสำคัญมากๆ คือไฟหน้า-หลังรถ
โชคดีที่ผมเตรียมถ่านไฟฉายมาหลายก้อน เลยช่วยส่องสว่างได้เกือบทั้งคืน
(ข้อดีของไฟหน้ารถแบบเปลี่ยนถ่านได้)
20:00 แล้วพวกเรายังคงปั่นกันอยู่ ยังเหลือระยะทางอีกกว่า 40km.
เส้นทางส่วนใหญ่ที่เราใช้ จะเป็นทางลัด ถนนจะเล็กๆ จึงไม่ค่อยมีรถยนต์วิ่งผ่าน
ขึ้นเขาเข้าป่าไผ่อีกแล้ว บอกตรงๆว่าไม่ชอบป่าไผ่เวลากลางคืนเลย
มันหลอนมาก
หนาวก็หนาว ทางก็มืดมาก เปลี่ยวด้วย โคตรน่ากลัวเลย
ปั่นบ้าง เข็นบ้าง ตอนนี้ไม่มีอะไรดีไปกว่า การให้กำลังใจซึ่งกันและกัน
“อีกนิดเดียว อีกนิดเดียว ก็จะถึงแล้ว”
ในเวลาที่เราลำบากสุดๆ คนที่อยู่ข้างๆเรานั่นแหละคือเพื่อนที่แท้จริง
ปั่นกันมาเรื่อยๆ ทะลุออกถนนเรียบทางด่วน หมายเลข 464
การเดินทางในช่วงนี้สบายหน่อย ตรงที่มีไฟส่องสว่างจากถนน ยาวตลอดทาง
แวะพักกันก่อน ตอนนี้เราอยู่ที่ไหนก็ไม่รู้ น่าจะสถานีรถไฟอะไรซักอย่าง
หายเหนื่อยแล้วก็เริ่มปั่นกันต่อ ทำเวลากันหน่อยเพราะตอนนี้ 21:00 กว่าๆ แล้ว
ปั่นต่อจนถึง สถานีรถไฟ Inzai-makinohara Station.
พอข้ามทางรถไฟไปแล้ว ก็ปั่นกันต่อ ตอนนี้ iphone เริ่มทำพิษอีกแล้ว พิกัดGPS ไม่ขยับ
ทำให้เราเสียเวลาปั่นเลยทางแยก ไปตั้ง 1km ต้องวนกลับมาตั้งหลักกันใหม่
อากาศเริ่มเย็นลงเรื่อยๆ แต่พวกเรายังคงปั่นกันต่อไปในความมืด
มีเนินให้วัดใจเป็นระยะๆ ไม่ไหวก็เข็นกันไปครับ ชม.นี้เราต้องรอด
แวะหาอะไรทาน ในเซเว่นกันก่อน ปั่นกันมานานเริ่มหิวแล้ว ประกอบกับอากาศตอนนี้ 10องศา
อยากได้อะไรอุ่นๆ กินแก้หนาว
เค้าบอกกันว่า ที่ญี่ปุ่นมีหนังสือโป๊ขายในเซเว่น ชัดเจนนะครับ
อยากลองซื้อมาอ่านดูเหมือนกัน อิอิ
ปั่นๆ อย่ายอมแพ้ ใกล้ถึงแล้ววว (รึป่าว)
ถึงแล้ววว สถานีรถไฟ Narita ดีใจๆ จะได้นอนแล้ว
แต่ @JetAsiaStaff บอก…โรงแรมเราต้องปั่นไปอีก 5-6km ครับ ไม่ได้อยู่ตรงนี้ O_o
พวกเราเร่งปั่นอยากจะให้ถึงโรงแรมเร็วๆ
แต่…อนิจจา iphone เริ่มทำพิษอีกแล้ว พิกัดGPS ไม่ขยับ ทำเราหลงทางในเมืองอีกรอบ
@JetAsiaStaff ถึงขั้นเซ็ง เพราะในmap บอกให้เลี้ยวขวา
แต่ทางขวาของเราตอนนี้ไม่มีแยกใดๆ แล้วจะให้เลี้ยวได้ยังไงฟระ
เราปั่นหลงทางไปกว่า 2km เซ็งกันเลยทีเดียว ต้องวนกลับมาตั้งหลักกันใหม่
ความสนุกครึ่งนึงของการเดินทาง คือการหลงทาง
23:30น. ถึงซะที Narita Excel Hotel Tokyu ที่ซุกหัวนอนของเราวันนี้
checkin แล้วฝากจักรยานไว้ที่จุดฝากกระเป๋า พรุ่งนี้เช้าค่อยมาจัดการแระกัน
ตอนนี้ไม่ไหวแระ อยากแช่น้ำอุ่นมากๆ
ห้องพักดูดีทีเดียว ใหญ่กว่าทุกโรงแรมที่เราเคยพักมา ต้องแบบนี้ซิค่อยสมราคาหน่อย
มีฟรี wifi ให้ใช้ด้วย
ภาระกิจของเรา สำเร็จลุล่วงหมดแล้ว สบายใจ ได้เวลาฉลองความสำเร็จ เย้ๆ
พรุ่งนี้ก็แค่ ตื่นแต่เช้าไปถอดจักรยานเก็บใส่ถุง
แล้วยกขึ้นรถบัสของทางโรงแรม ไปสนามบิน Narita
สรุปการเดินทางวันนี้ 96.20 km ใช้เวลาเดินทางทั้งหมด 13 ชม.
ตอนต่อไป
บทสรุปสุดท้าย ของการเดินทาง จบทริป Bike to fuji
และสรุปเส้นทางสำคัญทั้งหมด
อ่านย้อนหลังได้ที่นี่ครับ
ปั่นจักรยานเที่ยวญี่ปุ่น (บันทึกการเดินทาง วันที่ 1)
ปั่นจักรยานเที่ยวญี่ปุ่น (บันทึกการเดินทาง วันที่ 2)
ปั่นจักรยานเที่ยวญี่ปุ่น (บันทึกการเดินทาง วันที่ 3)
ปั่นจักรยานเที่ยวญี่ปุ่น (บันทึก special night)
ปั่นจักรยานเที่ยวญี่ปุ่น (บันทึกการเดินทาง วันที่ 4)
ปั่นจักรยานเที่ยวญี่ปุ่น (บันทึกการเดินทาง วันที่ 5) วันสุดท้ายของการเดินทาง